สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (22 เม.ย.) โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่รัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ได้แสดงความเชื่อมั่นว่าความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะคลี่คลายลงในไม่ช้า
ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 5.9 ดอลลาร์ หรือ 0.17% ปิดที่ 3,419.40 ดอลลาร์/ออนซ์
นักวิเคราะห์จากบริษัท RJO Futures กล่าวว่า การแสดงความเห็นของรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เป็นการส่งสัญญาณว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มคลี่คลายลง และทำให้นักลงทุนชะลอการซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวในการประชุมนักลงทุนซึ่งธนาคารเจพีมอร์แกนจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตันเมื่อวานนี้ว่า เขาคาดว่าความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะคลี่คลายลงในไม่ช้า พร้อมกับกล่าวว่า แม้การเจรจากับจีนมีแนวโน้มว่าจะยืดเยื้อ แต่ทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็ไม่คิดว่าจะปล่อยให้สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.56% แตะที่ระดับ 98.918 ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันตลาดทองคำ เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาที่ไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ
อย่างไรก็ดี เจพีมอร์แกนคาดการณ์ว่า ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง โดยคาดว่าราคาจะพุ่งขึ้นทะลุระดับ 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ในปีหน้า เนื่องจากนักลงทุนจะเข้าซื้อทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มถดถอย และจากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้และปีหน้า โดยในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (WEO) ที่มีการเผยแพร่ล่าสุดเมื่อวานนี้ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.8% และ 3.0% ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.3% สำหรับปี 2568 และ 2569 โดยคาดว่าเศรษฐกิจะได้รับผลกระทบจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ