ภาวะการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT ในวันจันทร์ (26 ส.ค.) สัญญาธัญพืชปรับตัวไร้ทิศทาง โดยสัญญาข้าวโพดและสัญญาข้าวสาลีปิดลบ ขณะที่สัญญาถั่วเหลืองปิดบวก
ทั้งนี้ สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนก.ย.ลดลง 5.75 เซนต์ หรือ -1.56% ปิดที่ 3.6200 ดอลลาร์/บุชเชล, สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 3.00 เซนต์ หรือ -0.57% ปิดที่ 5.2500 ดอลลาร์/บุชเชล และสัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 7.75 เซนต์ หรือ +0.80% ปิดที่ 9.8075 ดอลลาร์/บุชเชล
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สัญญาข้าวโพดร่วงลง โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่า เป็นผลมาจากการคาดการณ์ว่าจะมีผลผลิตข้าวโพดเพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับเกษตรกรยังคงเทขายข้าวโพดลอตเก่าอย่างต่อเนื่อง
การเทขายอย่างต่อเนื่องของเกษตรกรในสัปดาห์นี้ยิ่งเป็นแรงกดดันให้ราคาสัญญาข้าวโพดร่วงลง โดยเจสัน วอร์ด นักวิเคราะห์จาก Northstar Commodity กล่าวว่า "โรงเก็บเมล็ดพืชและสหกรณ์ส่วนใหญ่ต้องการให้เกษตรกรกำหนดราคาขายข้าวโพดลอตเก่าในเร็ว ๆ นี้เลย สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สำคัญที่เรากำลังจะเห็นข้าวโพดลอตเก่าในมือของเกษตรกรถูกเทขายออกมา"
ทั้งนี้ ผลสำรวจแนวโน้มการผลิตธัญพืชในแถบมิดเวสต์ของสหรัฐซึ่งจัดทำโดย ProFarmer บ่งชี้ว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ผลผลิตข้าวโพดในรัฐไอโอวาและอิลลินอยมีปริมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ผลผลิตในรัฐมินนิโซตาชะลอตัวลง
ขณะเดียวกัน ProFarmer ประเมินว่าการเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองในสหรัฐอาจอยู่ในระดับสูงกว่าที่กระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม คลื่นความร้อนและการขาดแคลนน้ำฝนในหลายพื้นที่ของแถบมิดเวสต์อาจสร้างความเสียหายต่อผลผลิตถั่วเหลืองในช่วงการเจริญเติบโตที่สำคัญ ทำให้ตลาดไม่มั่นใจว่าผลผลิตจะออกมาสูงเป็นประวัติการณ์อย่างที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ และปัจจัยด้านสภาพอากาศนี้เองที่ช่วยหนุนราคาสัญญาถั่วเหลือง
ขณะเดียวกัน ความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลางหลังจากที่อิสราเอลเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีเครื่องยิงจรวดของฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ก่อนนั้น ส่งผลให้ราคาสัญญาน้ำมันถั่วเหลืองปรับตัวสูงขึ้น
อนึ่ง ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงในตะวันออกกลางมักส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซล ปรับตัวสูงขึ้น
ส่วนราคาสัญญาข้าวสาลีลดลง เนื่องจากข้าวสาลีราคาถูกจากภูมิภาคทะเลดำยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาด