ภาวะการซื้อขายในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT ในวันอังคาร (12 พ.ย.) สัญญาธัญพืชปิดร่วงทั้งกระดาน นำโดยสัญญาข้าวสาลี
ทั้งนี้ สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 1.50 เซนต์ หรือ -0.35% ปิดที่ 4.2850 ดอลลาร์/บุชเชล, สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 13.25 เซนต์ หรือ -2.34% ปิดที่ 5.5225 ดอลลาร์/บุชเชล และสัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 11.75 เซนต์ หรือ -1.15% ปิดที่ 10.1050 ดอลลาร์/บุชเชล
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ราคาสัญญาข้าวสาลีปรับตัวลง เนื่องจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้สินค้าเกษตรสหรัฐฯ แข่งขันในตลาดโลกได้ยากขึ้น ส่วนราคาข้าวโพดก็ปรับตัวลงตามทิศทางตลาด
จิม เกอร์ลัค ประธาน A/C Trading กล่าวว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 5 เดือนเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงิน ส่งผลกดดันราคาสัญญาข้าวสาลี เนื่องจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้ผู้ซื้อที่ถือสกุลเงินอื่นลดความสนใจนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ
"ข้าวสาลีมีความอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์มากที่สุด" เกอร์ลัคกล่าว พร้อมเสริมว่า เนื่องจากมีประเทศผู้ส่งออกข้าวสาลีจำนวนมาก "เมื่อใดที่ค่าเงินดอลลาร์ทำให้ข้าวสาลีสหรัฐฯ แพงขึ้น ก็จะมีประเทศอื่นได้ประโยชน์เสมอ"
ขณะเดียวกัน อาร์ลัน ซูเดอร์มาน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของ StoneX กล่าวว่า ราคาถั่วเหลืองปรับตัวลงตามราคาสัญญาน้ำมันถั่วเหลือง (BOZ24) ของ CBOT ที่ร่วงลง 4% เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เลือกอดีตสมาชิกสภาคองเกรส ลี เซลดิน เป็นหัวหน้าสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ (EPA)
"เขามีประวัติต่อต้านการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพมาโดยตลอด" ซูเดอร์มานกล่าว พร้อมระบุว่าน้ำมันถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซลของสหรัฐฯ
ด้านเกอร์ลัคกล่าวว่า มีข่าวลือว่าอินโดนีเซียจะชะลอการเพิ่มสัดส่วนการผสมเชื้อเพลิงชีวภาพจาก 35% เป็น 40% ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลเรื่องความต้องการน้ำมันถั่วเหลืองที่อาจลดลง
เกอร์ลัคระบุว่า แม้ราคาข้าวโพดจะปรับตัวลงตามถั่วเหลือง แต่ความต้องการในตลาดยังคงแข็งแกร่ง ถึงแม้ฤดูการเก็บเกี่ยวจะใกล้สิ้นสุดแล้วก็ตาม
"ผมว่าไม่ควรมองราคาข้าวโพดเป็นขาลงมากเกินไป" เกอร์ลัคกล่าว