ราคาไข่ในสหรัฐอเมริกาดีดตัวสูงขึ้นอีกครั้งในเดือนมี.ค. ทะยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 6.23 ดอลลาร์สหรัฐต่อโหล แม้ว่าราคาขายส่งจะปรับตัวลดลงและไม่มีรายงานการระบาดของไข้หวัดนกในฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่ก็ตาม
การปรับขึ้นของราคาไข่ตามรายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ออกมาเมื่อวันพฤหัสบดี (10 เม.ย.) ส่งสัญญาณว่า ทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่ต้องพึ่งพาไข่อาจยังไม่ได้รับข่าวดีในเร็ววันนี้ โดยปกติแล้ว ความต้องการไข่จะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปจนถึงหลังเทศกาลอีสเตอร์ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 20 เม.ย.
ก่อนหน้านี้ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมคาดการณ์ว่า ดัชนี CPI จะสะท้อนราคาไข่ขายปลีกที่ลดลงตามราคาขายส่งที่ร่วงลงอย่างมากในเดือนมี.ค. แต่นักเศรษฐศาสตร์การเกษตรจากมหาวิทยาลัยอาร์คันซอ กล่าวว่า ราคาขายส่งเพิ่งเริ่มปรับลดลงในช่วงกลางเดือนมี.ค. จึงอาจมีเวลาไม่มากพอที่จะทำให้ราคาเฉลี่ยทั้งเดือนลดลงได้ทัน อีกทั้งร้านค้าปลีกอาจยังไม่ได้ปรับลดราคาตามต้นทุนที่ลดลงในทันที
การระบาดของไข้หวัดนกถูกชี้ว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาไข่พุ่งสูงขึ้นในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. โดยมีการกำจัดแม่ไก่ไข่ไปแล้วกว่า 30 ล้านตัวเพื่อสกัดการแพร่ระบาด อย่างไรก็ตาม ในเดือนมี.ค. มีการกำจัดสัตว์ปีกเพียง 2.1 ล้านตัว และไม่มีรายงานการระบาดในฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่แต่อย่างใด
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า ราคาไข่อยู่ที่ระดับ 5.90 ดอลลาร์สหรัฐต่อโหลในเดือนก.พ. และ 4.95 ดอลลาร์สหรัฐต่อโหลในเดือนม.ค.
ด้านตัวเลขล่าสุดจากกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ระบุว่า ณ วันที่ 1 มี.ค. ทั่วประเทศมีแม่ไก่ไข่เหลืออยู่เพียงประมาณ 285 ล้านตัว ลดลงจากช่วงก่อนไข้หวัดนกระบาดที่เคยมีมากกว่า 315 ล้านตัว
นับตั้งแต่ไข้หวัดนกรอบปัจจุบันเริ่มระบาด มีสัตว์ปีกถูกกำจัดไปแล้วกว่า 168 ล้านตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแม่ไก่ไข่ โดยตามมาตรการควบคุมโรคนั้น หากพบสัตว์ปีกป่วยแม้เพียงตัวเดียว จะต้องกำจัดทั้งฝูงเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปริมาณไข่ในตลาด เนื่องจากฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่ขนาดใหญ่อาจมีแม่ไก่หลายล้านตัว