สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.04 ดอลลาร์ ปิดที่ 108.6 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 1.13 ดอลลาร์ ปิดที่ 112.63 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นในขณะที่นักลงทุนจับตาดูการเจรจาระหว่างนายจอห์น แคร์รี่ รมว.ต่างประเทศสหรัฐ และนายเซอร์กี ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศรัสเซีย ที่เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อหารือกันเกี่ยวกับการเปิดทางให้ซีเรียส่งมอบประเด็นอาวุธนิวเคลียร์ให้อยู่ในการควบคุมของนานาประเทศ
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประธานาธิบดีบารัค โอบามากล่าวว่า สหรัฐจะทำงานร่วมกับรัสเซียและประเทศพันธมิตรอื่นๆเพื่อดำเนินการตามญัตติของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่จะทำให้ซีเรียยกเลิกอาวุธเคมี นอกจากนี้ โอบามายังได้ขอให้สภาคองเกรสเลื่อนการลงมติในประเด็นการโจมตีทางทหารต่อซีเรีย ซึ่งบ่งชี้ว่าฝ่ายบริหารจะพยายามใช้วิธีการทางการทูตในการคลี่คลายวิกฤตซีเรียในขณะนี้
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการสร้างงานประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 ก.ย. ปรับตัวลง 31,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 292,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2549 และตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 330,000 ราย
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) รายงานว่า กำลังการผลิตของประเทศในกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) เดือนส.ค.ลดลง 0.8% สู่ระดับ 30.51 ล้านบาร์เรล/วัน เมื่อเทียบกับตัวเลขประมาณการเดือนก.ค.ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 30.77 ล้านบาร์เรล
รายงานภาวะตลาดน้ำมันประจำเดือนของ IEA ระบุว่า กำลังการผลิตของกลุ่มโอเปคในเดือนส.ค.ลดลงเนื่องจากกำลังการผลิตของลิเบียลดลงสู่ระดับ 550,000 บาร์เรล/วันในเดือนส.ค. จากระดับ 1 ล้านบาร์เรลในเดือนก.ค. ซึ่งบดบังกำลังกำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบีย ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในกลุ่มโอเปค ซึ่งพุ่งทำสถิติสูงสุดในรอบ 32 ปี ที่ 10.19 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 190,000 บาร์เรลจากเดือนก.ค.