สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย.ปรับตัวขึ้น 14 เซนต์ หรือ 0.14% ปิดที่ 100.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ตลอดสัปดาห์ราคาลดลง 1.2%
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดลอนดอน ดีดขึ้น 83 เซนต์ หรือ 0.76% ปิดที่ 109.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS) เปิดเผยวานนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของจีน ขยายตัว 7.8% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวที่เร็วที่สุดในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากที่ขยายตัว 7.5% ในไตรมาส
สำหรับอัตราขยายตัวในช่วง 9 เดือนแรกของปี อยู่ที่ 7.7% ซึ่งสอดคล้องกับคาดการณ์ และสูงกว่าเป้าหมายตลอดทั้งปีของรัฐบาลที่ 7.5%
ทั้งนี้ จีนเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก และเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของจีนจึงถือเป็นสัญญาณบวกสำหรับตลาดน้ำมัน
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ในวงกว้างว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะชะลอการลดขนาดมาตรการกระตุ้นทางการเงินออกไปก่อน เมื่อพิจารณาจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลนาน 16 วัน เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเฟดจะยังไม่เริ่มลดวงเงินซื้อพันธบัตรไปจนกระทั่งต้นปีหน้า โดยนายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานเฟด ชิคาโก กล่าวว่า เฟดไม่ควรควบคุมมาตรการกระตุ้น หลังจากเหตุชัตดาวน์
มาตรการกระตุ้นการเงินของเฟดถือเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง สินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งรวมถึงน้ำมัน ที่ซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์ จึงมีราคาถูกลงสำหรับผู้ที่ถือสกุลเงินอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นอย่างจำกัด เนื่องจากมีความกังวลว่าข้อตกลงที่สภาคองเกรสสหรัฐลงมติรับรองเพื่อยุติชัตดาวน์และเพิ่มเพดานหนี้นั้น เป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากยังไม่ได้มีการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างสองขั้วการเมืองในหลายประเด็น ซึ่งจะส่งผลให้การต่อสู้ทางการคลังครั้งใหม่กลับมาอีกในไม่กี่เดือนข้างหน้า
รัฐบาลสหรัฐได้กลับมาเปิดทำการหน่วยงานอีกครั้ง ภายหลังสภาผู้แทนราษฎรซึ่งรีพับลิกันครองเสียงข้างมาก และวุฒิสภาซึ่งนำโดยเดโมแครต ได้ผ่านร่างกฎหมายเพื่อจัดสรรงบประมาณให้รัฐบาลกลางไปจนถึงวันที่ 15 ม.ค.2557 และเพิ่มเพดานหนี้ไปจนถึงวันที่ 7 ก.พ. ซึ่งเทรดเดอร์เริ่มวิตกกันแล้วว่า อาจเกิดภาวะชะงักงันทางการเมืองขึ้นอีกครั้ง เมื่อถึงเวลาดังกล่าว