สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 39 เซนต์ ปิดที่ 96.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาดลอนดอน ร่วงลง 1.02 ดอลลาร์ ปิดที่ 108.84 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงเพราะได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากเฟดเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0-0.25% ในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อวานนี้ (30 ต.ค.) พร้อมประกาศว่าจะยังคงเดินหน้าโครงการซื้อสินทรัพย์ในวงเงินปัจจุบันที่ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและการจ้างงาน
ขณะเดียวกัน เฟดยืนยันว่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ตราบใดที่อัตราว่างงานยังคงเคลื่อนไหวเหนือระดับ 6.5% และอัตราเงินเฟ้อรายปีอยู่ต่ำกว่าระดับ 2.5%
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการภายในประเทศปรับตัวลดลง
EIA เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 25 ต.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ โดยสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 4.09 ล้านบาร์เรล แตะ 383.9 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 3.2 ล้านบาร์เรล
สต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึง heating oil และน้ำมันดีเซล ลดลง 3.06 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 122.7 ล้านบาร์เรล เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินหดตัวลง 1.71 ล้านบาร์เรล แตะ 213.8 ล้านบาร์เรล ขณะที่มีการคาดการณ์ว่าจะลดลง 1 ล้านบาร์เรล
สำหรับอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.4% สู่ระดับ 87.3% จากที่นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะทรงตัวที่ระดับ 85.9%