สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 1.16 ดอลลาร์ ปิดที่ 97.2 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนม.ค.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 66 เซนต์ ปิดที่ 111.88 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 29 พ.ย. ร่วงลง 5.59 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 385.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับลงเพียง 500,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 3% สู่ระดับ 92.4%
ขณะเดียวกัน สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนหลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) มีมติคงเพดานการผลิตน้ำมันดิบไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในการประชุมซึ่งเสร็จสิ้นเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย
ทั้งนี้ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานจาก 12 ประเทศของกลุ่มโอเปคเห็นพ้องต้องกันว่า โอเปคได้ตัดสินใจคงเพดานการผลิตน้ำมันเอาไว้ในระดับดังกล่าว เนื่องจากอุปสงค์และอุปทานน้ำมันในตลาดโลก ในขณะที่กลุ่มโอเปคยังคงจัดหาน้ำมันดิบรองรับความต้องการของตลาดโลกในสัดส่วน 1 ใน 3 ของปริมาณน้ำมันดิบทั่วโลก
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ โดย ADP ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยตลาดแรงงานในสหรัฐ เปิดเผยว่า ภาคเอกชนทั่วสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 215,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 173,000 ตำแหน่ง
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค.ทะยาน 25.4% แตะที่ 444,000 ยูนิต ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี หลังจากที่ยอดขายบ้านใหม่ร่วงลง 6.6% แตะที่ 354,000 ยูนิตในเดือนก.ย.