ความต้องการทองคำลดลงแตะ 3,756.1 เมตริกันในปี 2556 จาก 4,415.8 ตันในปี 2555 เนื่องจากนักลงทุนขายทองผ่านทางกองทุนเป็นจำนวนมากเท่ากับที่ซื้อมาในช่วงสามปีก่อนหน้ารวมกัน ขณะที่ราคาทองที่ดิ่งลงแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2424 กระตุ้นให้ผู้บริโภคแห่ซื้อทองแท่งและเหรียญทองคำเพิ่มขึ้น 28% และซื้อเครื่องประดับเพิ่มขึ้น 17% โดยการใช้ทองคำของชาวจีนพุ่งขึ้น 32% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ราคาทองแท่งร่วง 28% ในปีที่แล้ว เนื่องจากนักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นในทองคำที่เคยมองว่าเป็นเครื่องสะสมหรือเก็บรักษามูลค่าได้ อย่างไรก็ดี ราคาที่ลดต่ำลงได้กระตุ้นอุปสงค์ทองคำจากเอเชีย ส่งผลให้เกิดการไหลของทองคำจากตะวันตกสู่ตะวันออก
สภาทองคำโลก ซึ่งอยู่ในกรุงลอนดอน ระบุในรายงานว่า อุปสงค์ทองคำในไตรมาสสี่ของปีที่แล้ว ร่วงลง 29% จากปีก่อนหน้า สู่ระดับ 857.8 ตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2552
ความต้องการเครื่องประดับทั่วโลกเพิ่มขึ้น 5.8% แตะ 553.8 ตันในไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 และตลอดทั้งปีเพิ่มขึ้นแตะ 2,209.5 ตัน ขณะที่การซื้อทองแท่งและเหรียญทองคำลดลง 5.5% ในช่วงสามเดือนจนถึงเดือนธ.ค. ส่งผลให้การซื้อตลอดทั้งปีรวมอยู่ที่ 1,654.19 ตัน
ผู้บริโภคซื้อทองคำรวมเพิ่มขึ้น 21% สู่ระดับ 3,863.5 ตันในปีที่แล้ว โดยความต้องการเพิ่มขึ้น 32% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,065.8 ตันในประเทศจีน และเพิ่ม 13% แตะ 974.8 ตันในอินเดีย ทั้งนี้ การบริโภคทองคำของอินเดียถูกจำกัด หลังจากที่รัฐบาลควบคุมการนำเข้าเพื่อลดยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
นอกจากนี้ รายงานของสภาทองคำโลกระบุด้วยว่า ในปีที่แล้ว การซื้อทองแท่งและเหรียญทองคำเพิ่มขึ้นในตุรกีและสหรัฐด้วยเช่นกัน