สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 21 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 98.2 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนเม.ย.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 63 เซนต์ ปิดที่ 107.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ได้รับแรงหนุนจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือนก.พ.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ขณะที่สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนม.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ และส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น
ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 มี.ค. ลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 315,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2556 ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 330,000 ราย
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีนได้สกัดแรงบวกของสัญญาน้ำมัน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า ผลผลิตมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นเพียง 8.6% เมื่อเทียบรายปี ในช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. 2557 ซึ่งเพิ่มขึ้นน้อยกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และเทียบเป็นรายเดือนพบว่า ผลผลิตมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรมเดือนก.พ.ขยับขึ้นเล็กน้อย 0.61% จากเดือนก่อนหน้านี้
นักลงทุนจับตาดูการลงประชามติของไครเมียในวันอาทิตย์ที่ 16 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ประชาชนในไครเมียได้มีทางเลือกที่จะตัดสินใจว่า จะยังคงเป็นเขตปกครองตนเองในยูเครนต่อไป หรือจะยกดินแดนเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซีย ขณะเดียวกันรัฐสภารัสเซียประกาศว่าจะจัดการอภิปรายในประเด็นที่ว่าจะรับสาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียเข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศหรือไม่ ในวันที่ 21 มี.ค.นี้