สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค.ปรับตัวขึ้น 31 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 104.05 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ค.ที่ตลาดลอนดอน พุ่งขึ้น 1.74 ดอลลาร์ หรือ 1.6% ปิดที่ 109.07 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่ 4 มี.ค.
ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ได้ปกคลุมบรรยากาศการซื้อขายในตลาดน้ำมันวันจันทร์ โดยรัสเซียได้ขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจัดประชุมฉุกเฉินในวันอาทิตย์ หลังจากที่กองกำลังความมั่นคงของยูเครนได้ปะทะกับกลุ่มติดอาวุธที่สนับสนุนรัสเซียในเมืองสลอฟแยนสก์ทางตะวันออกของประเทศ
รัสเซียผลิตน้ำมันดิบได้มากกว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนม.ค. และเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติรายใหญ่อันดับสอง โดยรัสเซียส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติกว่า 70% ให้ยุโรป ผ่านทางยูเครน
สถานการณ์ความไม่แน่นอนในยูเครนจึงถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการซื้อขายในตลาดน้ำมัน เทรดเดอร์หลายรายระบุว่า ความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะหยุดส่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติผ่านยูเครนนั้นได้ช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบ โดยเฉพาะน้ำมันดิบเบรนท์
ขณะเดียวกันสถานการณ์ในลิเบียก็เป็นปัจจัยผลักดันราคาน้ำมันดิบเช่นกัน โดยนายกรัฐมนตรีอับดุลลาห์ อัล-ทินนี ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งใหม่ ได้ลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันอาทิตย์ โดยให้เหตุผลว่าตนเองและครอบครัวถูกโจมตีเมื่อวันก่อน ซึ่งนับเป็นนายกฯคนที่สองที่ลาออกจากตำแหน่งในรอบหลายเดือน นายอัล-ทินนีกล่าวว่าตนและคณะรัฐมนตรีจะบริหารรัฐบาลต่อไปในฐานะรักษาการจนกว่าจะมีการสรรหานายกฯคนใหม่ขึ้นมาแทน
ลิเบียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ก่อนเกิดสงครามกลางเมืองในปี 2554 สถานการณ์วุ่นวายในประเทศส่งผลให้การผลิตน้ำมันลดลงเหลือแค่หนึ่งในสิบของระดับปกติที่ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ลิเบียประสบความสำเร็จในการกลับมาเปิดท่าเรือส่งออกน้ำมันหนึ่งแห่ง หลังบรรลุข้อตกลงกับกลุ่มติดอาวุธ และเตรียมที่จะเปิดท่าเรืออีกหนึ่งแห่ง อย่างไรก็ตาม ท่าเรือขนาดใหญ่กว่าอีกสองแห่งยังถูกกลุ่มกบฏควบคุมอยู่ ซึ่งการที่ไม่มีรัฐบาลมาคอยเจรจา จึงทำให้ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงฉบับใหม่เมื่อไร