สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 31 เซนต์ ปิดที่ 101.44 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 16 เซนต์ ปิดที่ 109.11 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจาก EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐในรอบสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 18 เม.ย. พุ่งขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล แตะที่ 397.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 3 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึง heating oil และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 597,000 บาร์เรล สู่ระดับ 112.5 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 300,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินลดลงเพียง 274,000 บาร์เรล แตะ 210 ล้านบาร์เรล จากที่คาดการณ์ว่าจะลดลงถึง 1.4 ล้านบาร์เรล
ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 2.2% สู่ระดับ 91% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะขยับขึ้นแค่ 0.3%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ยอดขายบ้านใหม่ร่วงลง 14.5% สู่ระดับ 384,000 ยูนิตในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่แล้ว และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ราว 450,000 ยูนิต
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน โดยการเปิดฉากปะทะกันหลายระลอกในบริเวณตะวันออกของยูเครนช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้สหรัฐเตรียมเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย แม้ก่อนหน้านี้จะมีการใช้วิธีทางการทูตเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของสถานการณ์ในยูเครนแล้วก็ตาม
ทั้งนี้ สถานการณ์ดูเหมือนจะย่ำแย่ลงอีกหลังจากที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐเปิดเผยว่า สหรัฐจะส่งทหารหลายร้อยนายไปยังยุโรปตะวันออกเพื่อทำการ "ซ้อมรบ" ขณะที่รัสเซียตั้งกองกำลังทหารประชิดพรมแดนตะวันออกของยูเครนอยู่ก่อนแล้ว