สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. ปรับตัวขึ้น 52 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 102.02 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยฟื้นตัวขึ้นจากที่ร่วงลงในวันพฤหัสดี และส่งผลให้ตลอดสัปดาห์ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2%
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 66 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 109.75 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ห้าติดต่อกัน ซึ่งยาวนานสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปีที่แล้ว
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านของสหรัฐประจำเดือนเม.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมายในระดับ 13.2% แตะที่ 1.07 ล้านยูนิต ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 975,000 และการอนุญาตก่อสร้างปรับตัวขึ้น 8% จากเดือนก่อนหน้านี้ แตะที่ 1.08 ล้านยูนิต ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.2551 และสูงกว่าคาดการณ์ที่ 1.01 ล้าน
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่าข้อมูลตลาดที่อยู่อาศัยที่ออกมาดีเกินคาดนี้เป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังปรับตัวดีขึ้น และเป็นปัจจัยสนับสนุนอุปสงค์น้ำมัน
นอกจากข้อมูลเศรษฐกิจแล้ว ราคาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันอันเนื่องมาจากวิกฤตยูเครน โดยรัสเซียเตือนว่ายูเครนใกล้เข้าสู่สงครามกลางเมืองทุกขณะ ด้านสหรัฐและอังกฤษประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่าจะลงโทษรัสเซียด้วยการคว่ำบาตรเพิ่มมากขึ้น หากรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งในยูเครนที่จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนพ.ค.นี้
รัสเซียเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายสำคัญ ซึ่งน้ำมันดิบและก๊าซของรัสเซียถูกส่งออกไปยังยุโรปเป็นส่วนใหญ่ โดยผ่านทางยูเครน ดังนั้น หากความขัดแย้งในยูเครนทวีความรุนแรง ก็อาจส่งผลกระทบต่ออุปทานและการจัดส่งพลังงาน ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับสถานการณ์ล่าสุดนั้น มีรายงานว่า รัสเซียได้แจ้งต่อสหภาพยุโรป (อียู) ว่ารัสเซียจะหยุดส่งก๊าซธรรมชาติให้กับยูเครนในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ หากไม่ได้รับการชำระเงินงวดที่ผ่านมา ขณะที่ยูเครนเผยว่ากำลังเตรียมที่จะจ่ายเงิน 4 พันล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทก๊าซพรอมของรัสเซีย แต่หวังว่าจะสามารถเจรจาลดราคาลงได้