สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 1.99 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 103.19 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 107.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจากสำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยของยูเครนว่า กลุ่มกบฎชาวยูเครนได้ยิงเครื่องบินโดยสารของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ พร้อมผู้โดยสาร 295 คนตกลงในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของยูเครน ใกล้กับชายแดนรัสเซีย ส่งผลให้ผู้โดยสารบนเครื่องบินเสียชีวิตทั้งหมด
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังปรับตัวขึ้นหลังจากมีรายงานว่าทั้งสหรัฐและสหภาพยุโรปมีมติเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย โดยพุ่งเป้าไปที่บริษัทพลังงานของรัสเซีย ซึ่งข่าวดังกล่วส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ
นักวิเคราะห์กล่าวว่า รัสเซียเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ โดยน้ำมันดิบและก๊าซส่วนใหญ่ของรัสเซียถูกส่งออกไปยังยุโรปโดยผ่านทางยูเครน ดังนั้นสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองจึงเป็นเหตุให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าอุปทานน้ำมันทั่วโลกอาจจะตกอยู่ในภาวะตึงตัว
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังพุ่งขึ้นหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 11 ก.ค. ร่วงลง 7.5 ล้านบาร์เรล แตะที่ 375 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงเพียง 2.5 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน NYMEX ปรับตัวลดลง 600,000 บาร์เรล แตะที่ 20.3 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 780,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 8.592 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2529
ทั้งนี้ การร่วงลงของสต็อกน้ำมันดิบสะท้อนให้เห็นว่า ความต้องการเชื้อเพลิงในสหรัฐยังคงปรับตัวสูงขึ้น และคาดว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นอีกในช่วงฤดูการขับขี่ในหน้ารอนที่จะกลับจะมาถึงนี้