ณ เวลา 18.47 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนพ.ย. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาด NYMEX ลดลง 63 เซนต์ หรือ 1.37% สู่ระดับ 45.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 480 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.7 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ การส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ ก็เป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และทำให้สัญญามีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
ผลการสำรวจธนาคาร 13 แห่งของหนังสือพิมพ์ วอลล์สตรีท เจอร์นัล ระบุว่า ราคาน้ำมันจะยังคงถูกกดดันอยู่ต่ำกว่าระดับ 60 ดอลลาร์ในปีหน้า จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด
ธนาคารที่ถูกสำรวจคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 58 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีหน้า ขณะที่น้ำมัน WTI จะมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 54 ดอลลาร์
ถึงแม้การผลิตน้ำมันจากสหรัฐได้เริ่มชะลอตัวลง แต่ซาอุดิอาระเบีย และรัสเซียยังคงผลิตน้ำมันใกล้ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อิหร่านเตรียมผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดเช่นกัน
ท่ามกลางปริมาณการผลิตน้ำมันจำนวนมาก แต่การขยายตัวของอุปสงค์ยังคงอ่อนแอลง โดยถูกกระทบจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีการใช้น้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของโลก