สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ร่วงลงกว่า 1% ในวันนี้ โดยปรับตัวลงเป็นวันทำการที่ 2 จากการที่แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 10 และจากการที่นักลงทุนขายทำกำไรในตลาด
ณ เวลา 20.59 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนต.ค. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาด NYMEX ลดลง 69 เซนต์ หรือ 1.50% สู่ระดับ 45.19 ดอลลาร์/บาร์เรล
เบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่ใช้งานในสหรัฐเพิ่มขึ้น 7 แท่นในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 414 แท่น ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสัปดาห์ที่ 10 ติดต่อกัน
ทั้งนี้ จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าอุปทานน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยถ่วงราคาน้ำมัน
คณะกรรมาธิการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าของสหรัฐ (CFTC) ระบุว่า ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับลดโพสิชั่นซื้อสัญญาและออปชั่นน้ำมันเป็นสัปดาห์ที่ 2 ในสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องจากไม่มั่นใจเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่จะปรับตัวขึ้นต่อไป
กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ออกรายงานประจำเดือนก.ย.ในวันนี้ โดยระบุว่า ตลาดน้ำมันจะยังคงเข้าสู่ภาวะสมดุล จากการขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันที่ดีกว่าคาด
ทั้งนี้ โอเปกคาดว่าอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 1.23 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ โดยได้รับผลบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาดในช่วงครึ่งปีแรก
ส่วนอุปสงค์น้ำมันในปีนี้ คาดว่าอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 94.27 ล้านบาร์เรล/วัน
นอกจากนี้ โอเปกคาดว่าอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 1.15 ล้านบาร์เรล/วันในปีหน้า และมีระดับเฉลี่ยอยู่ที่ 95.42 ล้านบาร์เรล/วัน
ประเทศที่มีการขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันมากที่สุด ได้แก่ อินเดีย, จีน และสหรัฐ
รายงานยังระบุว่า อุปสงค์สำหรับน้ำมันโอเปกจะเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ อยู่ที่ 31.70 ล้านบาร์เรล/วัน
ส่วนในปีหน้า อุปสงค์สำหรับน้ำมันโอเปกจะเพิ่มขึ้น 0.8 ล้านบาร์เรล/วัน อยู่ที่ 32.50 ล้านบาร์เรล/วัน
ในด้านอุปทานนั้น รายงานคาดว่า อุปทานน้ำมันจากกลุ่มที่อยู่นอกโอเปกจะลดลง 610,000 บาร์เรล/วันในปีนี้ สู่ระดับเฉลี่ย 56.32 ล้านบาร์เรล/วัน จากการที่สหรัฐลดการผลิตน้ำมัน
นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า นโยบายของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะมีความสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และภาคพลังงาน
รายงานของโอเปกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกยังคงมีแนวโน้มขยายตัวปานกลางต่อไปในปีนี้ และปีหน้า ขณะที่การตัดสินใจของธนาคารกลาง และปัจจัยทางการเมืองจะมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ หากเฟดประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ ก็จะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และกระทบต่อสัญญาน้ำมัน เนื่องจากจะทำให้สัญญามีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น