สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (1 พ.ย.) หลังจากผลสำรวจของนักวิเคราะห์ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะพุ่งขึ้นกว่า 1 ล้านดอลลาร์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับการที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 19 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 46.67 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 47 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 48.14 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันปิดตลาดอ่อนแรงลง หลังจากผลสำรวจของนักวิเคราะห์ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐมีแนวโน้มพุ่งขึ้นกว่า 1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่สต็อกน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเป็นเวลา 7 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ในวันนี้เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากที่การประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านนั้น ที่ประชุมไม่มีการระบุถึงการบรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันแต่อย่างใด แต่กล่าวเพียงว่าจะจัดการประชุมหารือกันอีกครั้ง ก่อนที่การประชุมอย่างเป็นทางการของโอเปกจะมีขึ้นในวันที่ 30 พ.ย.
โกลด์แมน แซคส์ ระบุในรายงานว่า "การที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิต ได้กดดันราคาน้ำมันให้ปรับตัวลงอย่างมาก โดยคาดว่าปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอจะฉุดให้ราคาน้ำมันร่วงลงอยู่ในกรอบล่างของช่วง 40-49 ดอลลาร์/บาร์เรล"
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบขยับลงเพียงเล็กน้อย เพราะตลาดได้รับแรงหนุนในระหว่างวันจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐและ 6 สกุลเงินของประเทศคู่ค้าสหรัฐนั้น ปรับตัวลง 0.77% มาอยู่ที่ระดับ 97.68
ส่วนสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนธ.ค.ทะยานขึ้น 4.6% เมื่อคืนนี้ หลังจากมีรายงานว่า เกิดเหตุท่อส่งน้ำมันเบนซินในรัฐอลาบามาได้ระเบิดขึ้น ส่งผลให้มีการปิดท่อส่งน้ำมันดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 เดือน ทำให้คาดว่าจะเกิดการขาดแคลนน้ำมัน และราคาน้ำมันที่แพงขึ้น