สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปีนี้และปีหน้า พร้อมระบุว่า หากกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันประสบความสำเร็จในการปรับลดกำลังการผลิตตามที่ได้ตกลงกันไว้ ก็จะส่งผลดีต่อเสถียรภาพราคาน้ำมัน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 15 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 52.98 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 3 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 55.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้รับแรงหนุนหลังจาก IEA ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปีนี้ สู่ระดับ 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเพิ่มขึ้น 120,000 บาร์เรล/วันจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ และปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีหน้า สู่ระดับ 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเพิ่มขึ้น 110,000 บาร์เรล/วันจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ อันเนื่องจากการปรับขึ้นอุปสงค์น้ำมันของรัสเซียและจีน
ทั้งนี้ IEA ได้เปิดเผยรายงานประจำเดือนธ.ค. ซึ่งระบุว่า ช่วงเวลา 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าจะถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะทำให้นักลงทุนเห็นว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และกลุ่มนอกโอเปก จะสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงลดกำลังการผลิตน้ำมันอย่างเต็มที่หรือไม่ และจะมีความสำคัญต่อทิศทางราคาน้ำมัน
ในการประชุมช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกได้ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตลง 558,000 บาร์เรล/วัน ขณะที่รัสเซียจะปรับลดกำลังการผลิตลง 300,000 บาร์เรล/วัน ในขณะที่กลุ่มโอเปกได้บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พ.ย. โดยมีผลบังคับใช้ในเดือนม.ค.2017
"ข้อตกลงดังกล่าวมีระยะเวลา 6 เดือน และเราควรให้เวลาแก่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในการปฏิบัติตามข้อตกลง ก่อนที่เราจะทำการประเมินแนวโน้มของตลาด ซึ่งหากกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันประสบผลสำเร็จในการลดกำลังการผลิต ก็จะส่งผลดีต่อเสถียรภาพของราคา และรายได้ของผู้ผลิต หลังจากประสบความยากลำบากมา 2 ปี แต่หากผู้ผลิตน้ำมันล้มเหลวในการทำตามข้อตกลง ก็จะทำให้เกิดปัญหาน้ำมันล้นตลาดเป็นปีที่ 4 และจะทำให้ราคาอ่อนตัวลงต่อไป" IEA ระบุในรายงานล่าสุด