สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 ก.พ.) หลังจากเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะบ่อน้ำมันในสหรัฐ รายงานว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลดังกล่าวบ่งชี้ถึงการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันในสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 82 เซนต์ หรือ 1.5% ปิดที่ 53.01 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 1.09 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 55.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ โดยรายงานของเบเกอร์ ฮิวจ์ระบุว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐมีจำนวนเพิ่มขึ้น 17 แท่น สู่ระดับ 583 แท่นในสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมระบุว่า จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันเพิ่มขึ้น 13 สัปดาห์ ในช่วง 14 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินคาดในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนม.ค.
ทั้งนี้ สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 6.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3.9 ล้านบาร์เรล สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะลดลง 903,000 บาร์เรล
นักลงทุนจับตาดูสถานการณ์ในอิหร่านอย่างใกล้ชิด หลังจากสหรัฐประกาศคว่ำบาตรชาวอิหร่านจำนวน 13 คน และบริษัท 12 แห่ง เพื่อเป็นการลงโทษต่อการที่อิหร่านได้ทำการทดสอบขีปนาวุธ
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐออกแถลงการณ์ระบุรายชื่อบุคคลที่ถูกคว่ำบาตร 13 คน รวมทั้งบริษัท 12 แห่งที่เกี่ยวข้องกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งบางแห่งตั้งอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เลบานอน และจีน