สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (28 ก.พ.) หลังจากมีกระแสคาดการณ์ในกลุ่มนักวิเคราะห์ว่า สต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐจะปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า สหรัฐผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 ก.พ.
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.ขยับลง 4 เซนต์ หรือ 0.09% ปิดที่ 54.01 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 34 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 55.59 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากผลสำรวจของนักวิเคราะห์ซึ่งจัดทำโดยเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ระบุว่า สต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นราว 2.1-2.9 ล้านบาร์เรล โดยการคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นก่อนที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันในคืนนี้ เวลา 22.30 น.ตามเวลาไทย
ทั้งนี้ หากเป็นไปตามการคาดการณ์ สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐก็จะเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 8 ซึ่งบ่งชี้ว่าอุปทานพลังงานของสหรัฐยังอยู่ในระดับสูง และเป็นปัจจัยสกัดราคาน้ำมัน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า สหรัฐเพิ่มการผลิตน้ำมันสู่ระดับมากกว่า 9 ล้านบาร์เรล/วันในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 ก.พ. ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2016
ทางด้านบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะบ่อน้ำมันสหรัฐ รายงานว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสัปดาห์ที่แล้ว มีจำนวนเพิ่มขึ้น 5 แท่น สู่ระดับ 602 แท่น ทำให้แท่นน้ำมันที่มีการใช้งาน มีจำนวนมากกว่า 600 แท่นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนต.ค.2015
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบได้รับปัจจัยหนุนในระหว่างวัน จากรายงานการประเมินของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ซึ่งระบุว่า การผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ลดลง 1 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.06 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนม.ค. โดยประเทศสมาชิกให้ความร่วมมือลดกำลังการผลิตตามข้อตกลงถึง 90% ขณะที่ซาอุดิอาระเบีย และอีกหลายประเทศลดการผลิตมากกว่าที่ระบุในข้อตกลง