สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 มี.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าสต็อกจะเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 10 ติดต่อกัน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 1.14 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 48.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 89 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 51.81 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าสต็อกจะเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 10 ติดต่อกัน
ทั้งนี้ สต็อกน้ำมันดิบลดลง 237,000 บาร์เรล สู่ระดับ 528.2 ล้านบาร์เรล หลังจากเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 9 สัปดาห์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.7 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 3.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 2 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 4.2 ล้านบาร์เรล เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.7 ล้านบาร์เรล
ข้อมูลของ EIA ออกมาสอดคล้องกับรายงานของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงสู่ระดับ 529.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันจะเพิ่มขึ้น
ทางด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ออกรายงานเมื่อวานนี้ว่า หากโอเปกยังคงลดกำลังการผลิตต่อไป จะส่งผลให้ตลาดเกิดภาวะขาดแคลนน้ำมัน 500,000 บาร์เรล/วันในช่วงครึ่งปีแรกนี้
IEA ยังระบุว่า การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันโลกมีแนวโน้มลดลงจากระดับ 1.6 ล้านบาร์เรล/วันในปีที่แล้ว สู่ระดับ 1.4 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ นอกจากนี้ IEA เปิดเผยว่า กลุ่มประเทศโอเปกได้ลดกำลังการผลิตเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนก.พ. แต่ประเทศนอกกลุ่มโอเปกบางประเทศ ซึ่งแม้มีการลงนามในข้อตกลงลดกำลังการผลิต อาจผลิตน้ำมันเกินกว่าที่ตกลงกันไว้