สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (23 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันที่สูงขึ้นในสหรัฐ หลังจากมีรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบและแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 34 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 47.70 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 8 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 50.56 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดลบติดต่อกัน 4 วันทำการเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันที่สูงขึ้นในสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นสูงกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว เช่นเดียวกับรายงานของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ที่ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.8 ล้านบาร์เรล ขณะที่ API รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
ด้านบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะบ่อน้ำมันสหรัฐ รายงานว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 14 แท่น สู่ระดับ 631 แท่น และเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน
นักลงทุนจับตารัฐมนตรีน้ำมันของกลุ่มประเทศโอเปก และนอกกลุ่มโอเปกจะประชุมกันในวันอาทิตย์นี้ที่คูเวต เพื่อทำการประเมินการให้ความร่วมมือของประเทศต่างๆในการลดกำลังการผลิตน้ำมัน
ทั้งนี้ ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศโอเปกได้บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน และจากนั้นในกลางเดือนธ.ค. ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกได้ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตลง 558,000 บาร์เรล/วัน โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2017 และมีกำหนดเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดในกลางปีนี้
อย่างไรก็ดี ในขณะที่กลุ่มประเทศโอเปกให้ความร่วมมือค่อนข้างมากในการปรับลดกำลังการผลิต แต่ประเทศนอกกลุ่มโอเปกก็ยังไม่ได้ปรับลดกำลังการผลิตในระดับที่ได้สัญญาไว้