สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (30 มี.ค.) โดยสัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ หลังจากมีรายงานว่า ประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงคูเวต ได้ออกมาสนับสนุนให้มีการขยายการลดกำลังการผลิต
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 84 เซนต์ หรือ 1.7% ปิดที่ 50.35 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 54 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 52.96 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ โดยปัจจัยล่าสุดมาจากข่าวที่ว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงคูเวต ได้ออกมาสนับสนุนให้มีการขยายการลดกำลังการผลิต
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 24 มี.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 900,000 บาร์เรล สู่ระดับ 534 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นราว 2-3 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซิน ร่วงลง 3.7 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงเชื้อเพลิงดีเซลและน้ำมันฮีทติ้งออยล์นั้น ปรับตัวลดลง 2.5%
นักลงทุนจับตากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก ซึ่งมีกำหนดจะประชุมร่วมกันในช่วงปลายเดือนพ.ค. เพื่อทำการทบทวนข้อตกลงว่า ควรจะขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตออกไปหรือไม่
ทั้งนี้ ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศโอเปกได้บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน และจากนั้นในกลางเดือนธ.ค. ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกได้ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตลง 558,000 บาร์เรล/วัน โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2017 และมีกำหนดเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดในกลางปีนี้