สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ร่วงลงในวันนี้ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีแผนขายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) ออกครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมัน และบั่นทอนความพยายามของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในการปรับลดกำลังการผลิตเพื่อลดปริมาณน้ำมันในตลาด
ณ เวลา 18.45 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาด NYMEX ลดลง 37 เซนต์ หรือ 0.72% สู่ระดับ 50.76 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ ร่างแผนงบประมาณประจำปี 2018 ที่ทำเนียบขาวเปิดเผยได้ระบุว่า ปธน.ทรัมป์เสนอให้รัฐบาลสหรัฐทำการขายน้ำมัน SPR ออกครึ่งหนึ่ง เพื่อนำรายได้เข้าสู่งบประมาณของประเทศ
ทั้งนี้ แผนของปธน.ทรัมป์จะทำให้มีการขายน้ำมัน SPR ออกครึ่งหนึ่งในช่วงปี 2018-2027 เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้ 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนต.ค.2018
นอกจากนี้ แผนงบประมาณดังกล่าว ยังได้เสนอให้มีการขุดเจาะ และผลิตน้ำมันมากขึ้นในอลาสกา
รัฐบาลจะยื่นงบประมาณดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสภาคองเกรสในวันนี้
SPR นับเป็นคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณน้ำมันอยู่ราว 688 ล้านบาร์เรล ซึ่งเพียงพอสำหรับความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกเป็นเวลา 1 สัปดาห์
นายออยสไตน์ เบเรนท์เซน กรรมการผู้จัดการของบริษัทสตรอง ปิโตรเลียม กล่าวว่า แผนของปธน.ทรัมป์ได้สร้างความประหลาดใจ และจะกระทบต่อความพยายามลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปก
นายเบเรนท์เซนระบุว่า การขายน้ำมัน SPR ออกครึ่งหนึ่งในช่วงเวลา 10 ปีดังกล่าว จะมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 95,000 บาร์เรล/วัน และจะส่งผลกระทบต่อตลาดในระยะยาว
การระบายน้ำมัน SPR จะทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดเพิ่มขึ้น และส่งผลให้การผลิตน้ำมันของสหรัฐเพิ่มสู่ระดับ 9.3 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งใกล้เคียงกับระดับการผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย
ทางด้านโกลด์แมน แซคส์ออกรายงานระบุว่า การคาดการณ์เกี่ยวกับการขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศโอเปก และประเทศอื่นๆ เช่น รัสเซีย กำลังเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่ตลาดจะเผชิญกับภาวะน้ำมันล้นตลาดต่อไปในปีหน้า
"การขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตออกไปอีก 9 เดือนจะทำให้สต็อกน้ำมันของกลุ่มประเทศในองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) กลับสู่ภาวะปกติในต้นปี 2018 และเรามองเห็นความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะน้ำมันล้นตลาดอีกในปีหน้า ถ้าหากโอเปกและรัสเซียกลับมาเพิ่มการผลิต และสหรัฐเพิ่มการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil)"
โกลด์แมน แซคส์ระบุว่า เพื่อให้สามารถควบคุมราคาได้ โอเปกและรัสเซียควรขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิต หรือปรับลดการผลิตมากขึ้น จนกว่าสต็อกน้ำมันจะกลับสู่ภาวะปกติ และเพิ่มการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้สต็อกน้ำมันมีเสถียรภาพ
ทั้งนี้ โกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะมีราคาอยู่ที่ระดับ 57 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศโอเปกได้บรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน และจากนั้นในกลางเดือนธ.ค. ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกได้ตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตลง 558,000 บาร์เรล/วัน โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2017 และมีกำหนดเป็นเวลา 6 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนมิ.ย.ปีนี้
โอเปกจะจัดการประชุมในวันที่ 25 พ.ค. เพื่อพิจารณาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปเกินกว่าเดือนมิ.ย.ปีนี้ เพื่อลดปริมาณน้ำมันจำนวนมากในตลาด