สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (30 พ.ค.) หลังจากโกลด์แมน แซคส์ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันในปีนี้ และจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันที่สูงขึ้นในสหรัฐ หลังจากเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะบ่อน้ำมันสหรัฐระบุว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐ เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 19
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 49.66 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 45 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 51.84 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากโกลด์แมน แซคส์ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมัน WTI ในปีนี้ลงสู่ระดับ 52.39 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีนี้ จากระดับ 54.80 ดอลลาร์/บาร์เรลที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน โกลด์แมน แซคส์คาดว่า ราคาเฉลี่ยของน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ที่ 55.39 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีนี้ ลดลงจากระดับ 56.76 ดอลลาร์/บาร์เรลที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ต้นทุนการผลิตน้ำมันที่ลดลงของสหรัฐ จะทำให้ปริมาณน้ำมันเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีข้างหน้า และเมื่อกลุ่มโอเปกสิ้นสุดช่วงเวลาปรับลดกำลังการผลิต การผลิตน้ำมันของโอเปกและสหรัฐก็จะเพิ่มขึ้น 1.0-1.3 ล้านบาร์เรล/วัน ระหว่างปี 2018-2020
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันหลังจากเบเกอร์ ฮิวจ์ เปิดเผยรายงานแท่นขุดเจาะน้ำมันรายสัปดาห์ ซึ่งระบุว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 2 แท่น สู่ระดับ 722 แท่นในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2015 และเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 19 ติดต่อกัน
ทั้งนี้ การขุดเจาะน้ำมันที่เพิ่มขึ้น บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นเวลา 12 เดือนติดต่อกัน ซึ่งจะทำให้การผลิตน้ำมันของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีหน้า