สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (8 มิ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจัยลบจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 8 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 45.64 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 20 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 47.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันปิดตลาดปรับตัวลง เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาน้ำมันมีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันหลังจาก EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 3.5 ล้านบาร์เรล
ด้านสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 580,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 4.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 281,000 บาร์เรล
ขณะเดียวกัน EIA ยังออกรายงานคาดการณ์ซึ่งระบุว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 10 ล้านบาร์เรล/วันในปีหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 9.3 ล้านบาร์เรลในปัจจุบัน ส่งผลให้สหรัฐมีการผลิตน้ำมันใกล้เคียงกับซาอุดิอาระเบีย
ด้านเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะบ่อน้ำมันสหรัฐ เปิดเผยรายงานแท่นขุดเจาะน้ำมันรายสัปดาห์ พบว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 11 แท่น สู่ระดับ 733 แท่น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2015 และเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 20 ติดต่อกัน เทียบกับระดับ 325 แท่นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว