สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (7 ก.ค.) หลังจากมีรายงานว่า การผลิตน้ำมันในสหรัฐและแท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า อุปทานน้ำมันที่สูงขึ้นในสหรัฐอาจเป็นปัจจัยที่ขัดขวางความพยายามในการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. ร่วงลง 1.29 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ปิดที่ 44.23 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 1.40 ดอลลาร์ หรือ 2.9% ปิดที่ 46.71 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนตลอดทั้งสัปดาห์นั้น สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงทั้งสิ้น 4.2% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลง 3.9%
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 88,000 บาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 9.338 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.
ขณะที่เบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะบ่อน้ำมันสหรัฐ เปิดเผยผลสำรวจซึ่งระบุว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 7 แท่น สู่ระดับ 763 แท่น ในสัปดาห์นี้
นอกจากนี้มีรายงานว่า กลุ่มโอเปกได้ส่งออกน้ำมันในปริมาณ 25.92 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 450,000 บาร์เรลต่อวันจากระดับของเดือนพ.ค. และเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
ทั้งนี้ การผลิตน้ำมันและจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐ รวมทั้งการส่งออกน้ำมันที่สูงขึ้นของกลุ่มโอเปก ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่า อาจเป็นปัจจัยที่ขวางความพยายามในการปรับลดการผลิตของกลุ่มโอเปก
นักลงทุนจับตารัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันจาก 5 ชาติสมาชิกโอเปกซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต รวมทั้งซาอุดิอาระเบีย จะประชุมร่วมกันที่ประเทศรัสเซียในวันที่ 24 ก.ค.นี้ โดยที่ประชุมอาจมีการเสนอมาตรการกระตุ้นราคา เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมโอเปกเต็มคณะในเดือนพ.ย.