สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (19 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าเทขายทำกำไร หลังจากราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นในช่วงการซื้อขายก่อนหน้านี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ร่วง 75 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 51.29 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วง 92 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 57.23 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเข้าเทขายสัญญาน้ำมัน WTI เพื่อทำกำไร หลังจากราคาปรับตัวขึ้นทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ในวันพุธ จากปัจจัยสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ขณะเดียวกัน อีกปัจจัยหนึ่งที่กดราคาน้ำมัน WTI เมื่อคืนนี้ คือข้อมูลสต็อกน้ำมันเบนซินและสต็อกน้ำมันดีเซลสหรัฐที่เพิ่มขึ้น
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐร่วงลง 5.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 456.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าสถิติที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ระบุว่า ร่วงลง 7.1 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 9 แสนบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 5 แสนบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล
นายโมฮัมเหม็ด บาร์คินโด เลขาธิการของกลุ่มโอเปก กล่าวว่า ตลาดน้ำมันกำลังปรับตัวเข้าสู่ภาวะสมดุลในอัตราที่รวดเร็วขึ้น และเขายังมองไม่เห็นจุดสูงสุดสำหรับอุปสงค์น้ำมันในอนาคตอันใกล้
นายบาร์คินโดกล่าวว่า เขามีความเชื่อมั่นว่าราคาและความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจโลกแข็งแกร่งขึ้น
"เราคาดว่าอุปสงค์น้ำมันจะทะลุ 100 ล้านบาร์เรล/วันภายในปี 2020" นายบาร์คินโดกล่าว
ก่อนหน้านี้ โอเปกคาดการณ์ว่า อุปสงค์น้ำมันจะอยู่ที่ระดับ 96.8 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้
นายบาร์คินโดเน้นย้ำถึงความสำคัญในการลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมันอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการจับมือกับผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปก
เขากล่าวว่า โอเปกกำลังพิจารณาข้อเสนอของรัสเซียที่จะขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตจนถึงสิ้นปีหน้า จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดในไตรมาสแรกของปีหน้า