สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (26 ธ.ค.) หลังจากมีรายงานว่า เกิดเหตุลอบวางระเบิดท่อส่งน้ำมันดิบในประเทศลิเบีย ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันพรุ่งนี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 1.50 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 59.97 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.77 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 67.02 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจากมีรายงานว่า กลุ่มติดอาวุธได้ลอบวางระเบิดท่อส่งน้ำมันดิบในลิเบีย ซึ่งส่งน้ำมันไปยังสถานีเอส ไซเดอร์ ขณะที่การปิโตรเลียมลิเบียระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการลำเลียงน้ำมันในปริมาณ 70,000-100,000 บาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยหนุนหลังจากเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งานมีจำนวนทรงตัวที่ 747 แท่นในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยนักลงทุนจับตาจำนวนแท่นขุดเจาะของสหรัฐอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางกระแสวิตกว่าสหรัฐอาจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ในปีหน้า
นักลงทุนจับตาสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 22 ธ.ค. ในวันพรุ่งนี้
ก่อนหน้านี้ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 15 ธ.ค. ลดลง 6.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 3.8 ล้านบาร์เรล และเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 โดยข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 5.2 ล้านบาร์เรล