สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 ธ.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลดลงมากกว่าการคาดการณ์ นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังช่วยหนุนแรงซื้อในตลาดน้ำมันนิวยอร์กเช่นกัน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 20 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 59.84 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 28 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 66.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้น ขานรับรายงานของ EIA ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 22 ธ.ค. ร่วงลง 4.6 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์สำรวจของวอลล์สตรีท เจอร์นัล คาดการณ์ว่าจะลดลงราว 3 ล้านบาร์เรล
ทางด้านสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 6 ล้านบาร์เรลในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 22 ธ.ค.
นอกจากนี้ EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 591,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว เทียบกับนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า ลดลง 584,000 บาร์เรล
สำหรับการนำเข้าน้ำมันดิบของสหรัฐโดยเฉลี่ยในสัปดาห์ที่แล้ว อยู่ที่ 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 159,000 บาร์เรลต่อวัน
นักลงทุนจับตาสถานการณ์การผลิตน้ำมันในสหรัฐอย่างใกล้ชิด โดยรายงานล่าสุดของบริษัทวิจัยธุรกิจ ไอเอชเอส มาร์กิต ระบุว่า การผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานในรัฐทางตอนใต้ของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 815 ล้านบาร์เรลในปี 2560
รายงานดังกล่าวระบุว่า การผลิตน้ำมันในแหล่งเพอร์เมียน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ทางตะวันตกของรัฐเท็กซัสและทางตะวันออกเฉียงใต้ของนิวเม็กซิโก ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ โดยทำลายสถิติ 790 ล้านบาร์เรลที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ในปี 2516
ทั้งนี้ เพอร์เมียน เบซิน เป็นแหล่งน้ำมันจากชั้นหินดินดานอันดับหนึ่งของสหรัฐในรายงาน Drilling Productivity Report ฉบับล่าสุดที่เผยแพร่โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA)