สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีเมื่อคืนนี้ (4 ม.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยความไม่สงบในอิหร่าน และความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐ อันเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 38 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 62.01 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2557
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 23 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 68.07 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดที่เหนือระดับ 62 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจาก EIA เปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 7.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 5.7 ล้านบาร์เรล ส่วนสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ระบุก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 5.0 ล้านบาร์เรล
รายงานของ EIA ยังระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 4.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล พุ่งขึ้น 8.9 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากปัจจัยความไม่สงบในอิหร่าน และความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐ อันเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น โดยสำนักงานบริการข้อมูลสภาพอากาศแห่งชาติสหรัฐ (NWS) รายงานว่า พายุฤดูหนาวได้พัดกระหน่ำแถบตะวันออกของสหรัฐเมื่อวานนี้ ซึ่งทำให้เกิดหิมะตกหนัก และลมกรรโชกแรงในแถบชายฝั่งมิด-แอตแลนติกไปจนถึงทางใต้ของนิวอิงแลนด์ โดย NWS เรียกพายุดังกล่าวว่าเป็นระเบิดไซโคลน (bomb cyclone) เนื่องจากมีความเร็วลมสูง และความกดอากาศต่ำอย่างที่แทบไม่เคยปรากฎมาก่อน โดยมีความเร็วลมสูงถึง 60 ไมล์/ชั่วโมง และมีความหนาวเย็นระดับขั้วโลกเหนือ
ส่วนสถานการณ์ความไม่สงบในอิหร่านยังคงยืดเยื้อ หลังจากที่ชาวอิหร่านได้รวมตัวกันชุมนุมในเมืองมัชฮัดตั้งแต่เมื่อพฤหัสบดีที่แล้ว เพื่อประท้วงรัฐบาลซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน แต่การชุมนุมได้ขยายวงกว้างไปอีกหลายเมืองทั่วประเทศ ท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชนต่อการทุจริตของเจ้าหน้าที่, เงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น และนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล