สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ม.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 8 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยหนุนสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดที่เหนือระดับ 63 ดอลลาร์/บาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 61 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 63.57 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 38 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 69.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 4.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 3.9 ล้านบาร์เรล และเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 8 นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 11.2 ล้านบาร์เรล
EIA ยังระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน ลดลง 2.4 ล้านบาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 4.3 ล้านบาร์เรล เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ EIA ยังได้เปิดเผยรายงาน "Short-Term Energy Outlook" โดยคาดว่า ราคาน้ำมันดิบ WTI ในปี 2561 จะเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยที่ 55.33 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้นจากตัวเลขประมาณการครั้งก่อนที่ระดับ 52.77 ดอลลาร์/บาร์เรล และคาดว่า ราคาโดยเฉลี่ยในปี 2562 จะอยู่ที่ 57.43 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะเดียวกัน EIA คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในปี 2561 จะเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยที่ 59.75 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้นจากตัวเลขประมาณการครั้งก่อนที่ระดับ 57.26 ดอลลาร์/บาร์เรล และคาดว่าราคาโดยเฉลี่ยในปี 2562 จะอยู่ที่ 61.43 ดอลลาร์/บาร์เรล