สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นมายืนที่เหนือระดับ 65 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ (24 ม.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 10
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. พุ่งขึ้น 1.14 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 65.61 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. 2557
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 57 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 70.53 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2557
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจาก EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 411.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 19 ม.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 10
ทั้งนี้ ข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบของ EIA ออกมาสวนทางกับที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้น 4.8 ล้านบาร์เรลในรอบสัปดาห์ดังกล่าว
นอกจากนี้ รายงานของ EIA ยังระบุว่า สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 639,000 บาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าร่วงลง 1.5 ล้านบาร์เรล
ส่วนการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 128,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 9.878 บาร์เรล/วัน
ทางด้านบีเอ็นพี พาริบาส์ได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมัน WTI ในปีนี้ สู่ระดับเฉลี่ย 60 ดอลลาร์/บาร์เรล และน้ำมันดิบเบรนท์ สู่ระดับ 65 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ธนาคารบาร์เคลย์สปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในปีนี้ สู่ระดับเฉลี่ย 60 ดอลลาร์/บาร์เรล