สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (25 ม.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ได้ออกมาสนับสนุนการแข็งค่าของดอลลาร์ โดยเมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จะส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์นั้น มีราคาที่ไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 10 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 66.51 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 11 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 70.42 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นหลังจากปธน.ทรัมป์ได้กล่าวให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวของ CNBC หลังจากเดินทางถึงเมืองดาวอสเพื่อเข้าร่วมประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) เมื่อวานนี้ว่า เขาสนับสนุนการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และเชื่อว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นอีก
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวถึงกรณีที่นายสตีเวน มูนชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐได้กล่าวในเชิงสนับสนุนการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ว่า สื่อมวลชนอาจตีความคำพูดของนายมนูชินที่ผิดไปจากวัตถุประสงค์ที่เขาต้องการจะสื่อ
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปิดตลาดขยับลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 10 โดยสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 1.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 411.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 19 ม.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 10
ทั้งนี้ ข้อมูลสต็อกน้ำมันดิบของ EIA ออกมาสวนทางกับที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้น 4.8 ล้านบาร์เรลในรอบสัปดาห์ดังกล่าว