สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (8 ก.พ.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากอิหร่านประกาศแผนปรับเพิ่มการผลิตน้ำมัน และสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบและการผลิตน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 64 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 61.15 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 70 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 64.81 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดร่วงลง ท่ามกลางความวิตกกังวลว่า อุปทานน้ำมันทั่วโลกจะปรับตัวสูงขึ้น หลังจากอิหร่านนายเอมีร์ ซามานิเนีย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานของอิหร่านเปิดเผยว่า อิหร่านวางแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 700,000 บาร์เรล สู่ระดับ 4.7 ล้านบาร์เรล/วัน ในอีก 4 ปีข้างหน้า
สัญญาน้ำมันยังได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า ท่อส่งน้ำมันโฟร์ตีส์ในทะเลเหนือเตรียมกลับมาดำเนินการอีกครั้ง หลังจากท่อส่งน้ำมันแห่งนี้ได้ถูกปิดเพื่อซ่อมรอยแตกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 2 ก.พ.
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 459,000 บาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 3.9 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ รายงานของ EIA ระบุว่า สหรัฐผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 332,000 บาร์เรล สู่ระดับ 10.25 ล้านบาร์เรล/วันในสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ EIA คาดการณ์ว่า การผลิตน้ำมันของสหรัฐจะแตะระดับเฉลี่ย 10.59 ล้านบาร์เรล/วันในปีนี้ และพุ่งแตะระดับ 11.18 ล้านบาร์เรล/วันในปีหน้า ซึ่งจะทำให้สหรัฐแซงหน้ารัสเซีย กลายเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลก