สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ก.พ.) หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า อุปทานน้ำมันทั่วโลกจะอยู่ในระดับสูงกว่าอุปสงค์ในปีนี้ พร้อมระบุว่า การผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของสหรัฐ จะทำให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เปลี่ยนแปลงนโยบายการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่ในไม่ช้า
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 10 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 59.19 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 13 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 62.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนวิตกกังวลต่อรายงานของ IEA ซึ่งระบุว่า การผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประเทศนอกกลุ่มโอเปก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐนั้น จะส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตลาดโลกมีมากกว่าอุปสงค์ในปีนี้
นอกจากนี้ รายงานของ IEA ยังระบุว่า การผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของสหรัฐ จะทำให้กลุ่มโอเปกเปลี่ยนแปลงนโยบายการผลิตน้ำมันครั้งใหญ่ในไม่ช้า
ทางด้านสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยรายงานผลิตภาพด้านการขุดเจาะน้ำมัน (Drilling Productivity Report) โดยระบุว่า การผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ในแหล่งน้ำมันหลัก 7 แหล่งของสหรัฐมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 110,000 บาร์เรล/วันในเดือนมี.ค. สู่ระดับ 6.756 ล้านบาร์เรล/วัน
ขณะเดียวกัน EIA คาดว่า การผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานในแหล่งเพอร์เมียน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ทางตะวันตกของรัฐเท็กซัสและทางตะวันออกเฉียงใต้ของนิวเม็กซิโก จะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 75,000 บาร์เรล/วันในเดือนมี.ค.
นักลงทุนจับตาสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐซึ่งจะเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลล์สำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 3 ล้านบาร์เรลในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 9 ก.พ. ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล และคาดว่าสต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 1 ล้านบาร์เรล