สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 ก.พ.) เนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ช่วยให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น มีมูลค่าที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ยังได้แรงหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 74 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 61.34 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย. ขยับลง 3 เซนต์ ปิดที่ 64.33 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยกระตุ้นแรงซื้อสัญญาน้ำมันดิบ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.59% สู่ระดับ 88.591 เมื่อคืนนี้
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 1.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 9 ก.พ. ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะพุ่งขึ้น 2.8 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐอย่างใกล้ชิด หลังจาก EIA ระบุว่า สหรัฐสามารถผลิตน้ำมันมากกว่า 10 ล้านบาร์เรล/วันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2513 โดยขณะนี้สหรัฐมีกำลังการผลิต 10.27 ล้านบาร์เรล/วัน และคาดว่าสหรัฐจะสามารถผลิตน้ำมันได้มากกว่า 11 ล้านบาร์เรล/วันในปลายปีนี้
นอกจากนี้ EIA ยังระบุว่า การผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ในแหล่งน้ำมันหลัก 7 แหล่งของสหรัฐมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 110,000 บาร์เรล/วันในเดือนมี.ค. สู่ระดับ 6.756 ล้านบาร์เรล/วัน
ทางด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่า สหรัฐมีแนวโน้มครองอันดับประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลกในปีนี้ โดยแซงหน้ารัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลกในขณะนี้ ขณะที่สหรัฐสามารถผลิตน้ำมันมากกว่าซาอุดิอาระเบียแล้ว