สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 ก.พ.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากที่ซาอุดิอาระเบียและกลุ่มโอเปกให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าลดการผลิตน้ำมันตามสัญญาจนถึงสิ้นปีนี้
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 34 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 61.68 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 51 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 64.84 ดอลลาร์/บาร์เรล
นายคาลิด อัล-ฟาลีห์ รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของซาอุดิอาระเบีย เปิดเผยว่า ซาอุดิอาระเบีย และกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ยังคงยึดมั่นในคำมั่นสัญญาที่ว่าจะปรับลดกำลังการผลิตไปจนถึงสิ้นปีนี้ แม้ว่าจะทำให้ตลาดอยู่ในภาวะไร้สมดุลเล็กน้อยก็ตาม
ขณะที่ CNBC รายงานว่า รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปิดเผยว่า ประเทศผู้ผลิตน้ำมัน นำโดยซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย ได้เตรียมแผนที่จะร่างข้อตกลงเกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรระยะยาว ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวขึ้นในกรอบจำกัด อันเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานที่สูงขึ้นในสหรัฐ
เบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 7 แท่น สู่ระดับ 798 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 สัปดาห์
ก่อนหน้านี้ สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ระบุว่า สหรัฐสามารถผลิตน้ำมันมากกว่า 10 ล้านบาร์เรล/วันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2513 โดยขณะนี้สหรัฐมีกำลังการผลิต 10.27 ล้านบาร์เรล/วัน และคาดว่าสหรัฐจะสามารถผลิตน้ำมันได้มากกว่า 11 ล้านบาร์เรล/วันในปลายปีนี้
นอกจากนี้ EIA ยังระบุว่า การผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดานในแหล่งน้ำมันหลัก 7 แหล่งของสหรัฐมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 110,000 บาร์เรล/วันในเดือนมี.ค. สู่ระดับ 6.756 ล้านบาร์เรล/วัน
ทางด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่า สหรัฐมีแนวโน้มครองอันดับประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลกในปีนี้ โดยแซงหน้ารัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลกในขณะนี้ ขณะที่สหรัฐสามารถผลิตน้ำมันมากกว่าซาอุดิอาระเบียแล้ว
ในสัปดาห์นี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 4.2% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ เพิ่มขึ้น 3.3%