สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (28 ก.พ.) ภายหลังสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 1.37 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 61.64 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับเดือนก.พ. ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง 4.8% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 6 เดือน
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 85 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 65.78 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ตลอดทั้งเดือนก.พ. น้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลงไป 4.7% ลดลงครั้งแรกในรอบ 8 เดือน
EIA เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นเพียง 933,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรล โดยสูงกว่าที่ API รายงานเช่นกัน
นอกจากนี้ การผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันตลาด
นายฟาตีห์ ไบรอล ผู้อำนวยการบริหารของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่า สหรัฐมีแนวโน้มที่จะแซงหน้ารัสเซียขึ้นเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลกในปีหน้า เนื่องจากการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ในสหรัฐยังคงเพิ่มขึ้นสวนทางกับตลาดโลก
ในปีที่แล้ว การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นเหนือระดับ 10 ล้านบาร์เรล/วันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 โดยแซงหน้าผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบีย
ทางด้านสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยในช่วงต้นเดือนนี้ว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 11 ล้านบาร์เรล/วัน ภายในปลายปีนี้
ขณะเดียวกัน ตลาดยังถูกกดดันจากดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นทำให้น้ำมันมีราคาที่น่าดึงดูดใจลดน้อยลงสำหรับผู้ที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเปรียบเทียบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐกับตะกร้าสกุลเงินหลักอีก 6 สกุลเงิน ปรับตัวขึ้น 0.35% แตะที่ 90.648 ในช่วงท้ายของการซื้อขาย