สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (1 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันที่สูงขึ้นในสหรัฐ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 65 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 60.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนเม.ย. ร่วงลง 90 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 63.83 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ หลังจากรายงานของ EIA ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้น 3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นเพียง 933,000 บาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรล โดยสูงกว่าที่ API รายงานเช่นกัน
นอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในสหรัฐยังคงสร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดเช่นกัน โดยนายฟาตีห์ ไบรอล ผู้อำนวยการบริหารของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่า สหรัฐมีแนวโน้มที่จะแซงหน้ารัสเซียขึ้นเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลกในปีหน้า เนื่องจากการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ในสหรัฐยังคงเพิ่มขึ้นสวนทางกับตลาดโลก
ในปีที่แล้ว การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้นเหนือระดับ 10 ล้านบาร์เรล/วันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 โดยแซงหน้าผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบีย
ทางด้านสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยในช่วงต้นเดือนนี้ว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 11 ล้านบาร์เรล/วัน ภายในปลายปีนี้