สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนนี้ (6 เม.ย.) จากความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งอาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมันในตลาดโลก เช่นเดียวกับรายงานตัวเลขแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดความวิตกในเรื่องปริมาณน้ำมันในตลาด
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ลดลง 1.48 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 62.06 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 1.22 ดอลลาร์ หรือ 1.8% ปิดที่ 67.11 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดน้ำมันได้รับผลกระทบ หลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งการให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณารายการสินค้านำเข้าจากจีนที่สหรัฐอาจเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 1 แสนล้านดอลลาร์
ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาได้ขอให้นายโรเบิร์ต ไลท์ไทเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ พิจารณาว่าการเก็บภาษีนำเข้าอีก 1 แสนล้านดอลลาร์นั้นเหมาะสมหรือไม่ภายใต้มาตรา 301 และหากเหมาะสม ก็ขอให้ระบุรายการสินค้าที่จะเรียกเก็บภาษีดังกล่าว
ปธน.ทรัมป์ระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นเพราะจีนได้ตอบโต้อย่างไม่เป็นธรรมต่อการที่สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์
ทางด้านโฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีนประกาศเมื่อวานนี้ว่า จีนจะตอบโต้สหรัฐไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม และจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างครอบคลุม หากสหรัฐยังคงเดินหน้ากีดกันการค้าแต่เพียงฝ่ายเดียว
นักวิเคราะห์วิตกว่า หากจีนเรียกเก็บภาษีต่อน้ำมันที่นำเข้าจากสหรัฐ ก็จะส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมัน และอุปสงค์น้ำมันของสหรัฐ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งระบุว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 11 แท่น สู่ระดับ 808 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2558