สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 เม.ย.) โดยได้แรงหนุนจากสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ข้อพิพาทด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีแนวโน้มคลี่คลายไปในทางที่ดี นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า การผลิตน้ำมันในเดือนมี.ค.ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 1.36 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 63.42 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.54 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 68.65 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นหลังจากนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้แสดงคาดหวังว่า สหรัฐและจีนจะสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ก่อนที่จะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้า และสหรัฐไม่มีเป้าหมายที่จะทำสงครามการค้า
ทางด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ระบุผ่านทวิตเตอร์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า จีนจะเป็นฝ่ายที่ยอมอ่อนข้อต่อสหรัฐ โดยจะยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้า และทั้งสองประเทศจะบรรลุข้อตกลงกันได้ในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา รวมถึงในด้านภาษีที่จะเป็นไปในลักษณะที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยหนุนจากจากรายงานที่ว่า การผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกในเดือนมี.ค.ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือนที่ 32.14 ล้านบาร์เรล/วัน โดยลดลง 250,000 ล้านบาร์เรล/วันจากระดับของเดือนก.พ. อันเนื่องมาจากการปรับตัวลดลงของการส่งออกน้ำมันของอังโกลา, ปัญหาในการผลิตน้ำมันในลิเบีย รวมทั้งการผลิตน้ำมันที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในเวเนซุเอลา
นักลงทุนจับตารายงานประจำเดือนของกลุ่มโอเปกซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพฤหัสบดี และรายงานประจำเดือนของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ในวันศุกร์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลก นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตารายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ของสำนักงานสารนิเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ในวันพุธนี้