สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับรายงานของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ซึ่งระบุว่า การผลิตน้ำมันดิบในกลุ่มโอเปกปรับตัวลดลงในเดือนมี.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนหลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) เปิดเผยรายงานประจำเดือน ซึ่งระบุว่าปริมาณอุปทานล้นตลาดที่เคยส่งผลกดดันราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมานั้นใกล้เข้าสู่ระดับสมดุลแล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 32 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 67.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 56 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 72.58 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น หลังจากโอเปกเปิดเผยรายงานประจำเดือนว่า การผลิตน้ำมันของโอเปกลดลง 201,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 31.96 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก.พ. โดยอังโกลา แอลจีเรีย เวเนซุเอลา ซาอุดิอาระเบีย และลิเบียต่างลดกำลังการผลิต
ขณะเดียวกัน โอเปกยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้น 30,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 1.63 ล้านบาร์เรล/วัน โดยได้รับแรงหนุนจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นกว่าที่คาดไว้ และการทำเหมืองจำนวนมากในอเมริกาและเอเชียแปซิฟิก
ทางด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า สต็อกน้ำมันได้หดตัวลงอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา และอาจลดลงต่ำกว่าระดับเฉลี่ย 5 ปีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และรัสเซียได้ร่วมมือกันจำกัดเพดานการผลิต เพื่อทำให้ภาวะอุปสงค์-อุปทานกลับสู่ภาวะสมดุล และผลักดันราคาน้ำมันให้ปรับตัวสูงขึ้น
IEA ระบุว่า ณ สิ้นเดือนก.พ. สต็อกน้ำมันเชิงพาณิชย์ในประเทศอุตสาหกรรมลดลงมาอยู่ที่ราว 2.8 พันล้านบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าระดับเฉลี่ย 5 ปีอยู่เพียง 30 ล้านบาร์เรล ซึ่งทาง IEA คาดว่าในเดือนหรือสองเดือนข้างหน้า ปริมาณดังกล่าวอาจแตะระดับเฉลี่ย 5 ปี หรืออาจลดลงไปได้ต่ำกว่านั้น