สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปีครึ่งเมื่อคืนนี้ (18 เม.ย.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงมากกว่า 1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่จะยังคงเดินหน้าปรับลดการผลิตต่อไป
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. พุ่งขึ้น 1.95 ดอลลาร์ หรือ 2.9% ปิดที่ 68.47 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2557
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 1.90 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 73.48 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจาก สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 1.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ระบุว่าสต็อกน้ำมันดิบลดลง 1 ล้านบาร์เรล
EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันเบนซินดิ่งลง 3 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ร่วงลง 3.1 ล้านบาร์เรล
นักลงทุนจับตาการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต (JMMC) ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก ซึ่งคาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนคาดหวังว่า กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันจะยังคงเดินหน้าปรับลดการผลิต่อไป
ทั้งนี้ โอเปกและกลุ่มผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปกได้เห็นพ้องกันในการปรับลดกำลังการผลิต 1.8 ล้านบาร์เรล/วันตั้งแต่เดือนม.ค.ปีที่แล้วจนถึงปลายปีนี้เพื่อแก้ปัญหาน้ำมันล้นตลาด และมีกำหนดประชุมกันในเดือนมิ.ย. เพื่อทบทวนแผนการปรับลดกำลังการผลิต
ทางด้านเจ้าหน้าที่ซาอุดิอาระเบียตั้งเป้าหมายราคาน้ำมันที่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งจะส่งผลให้ซาอุดิอาระเบียสนับสนุนให้โอเปกยังคงปรับลดกำลังการผลิตต่อไปจนกว่าจะบรรลุเป้าดังกล่าว