สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (25 เม.ย.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน โดยสัญญาน้ำมันดิบได้รับปัจจัยหนุนจากมุมมองที่ว่า หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ชาติมหาอำนาจทำไว้กับอิหร่านนั้น ก็จะปูทางให้สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่านอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐได้จำกัดแรงบวกของสัญญาน้ำมันดิบ
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 35 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 68.05 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้น 14 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 74.00 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวกจากมุมมองที่ว่า หากปธน.ทรัมป์ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ชาติมหาอำนาจทำไว้กับอิหร่าน ก็จะปูทางให้สหรัฐทำการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ด้วยการสั่งห้ามการส่งออกน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในตลาดลดลง
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นอีก 5 ดอลลาร์/บาร์เรล หากสหรัฐทำการคว่ำบาตรอิหร่าน
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์มีเวลาจนถึงวันที่ 12 พ.ค.ในการตัดสินใจว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ชาติมหาอำนาจทำไว้กับอิหร่านหรือไม่ โดยข้อตกลงฉบับนี้เกิดจากลงนามในปี 2558 ระหว่างอิหร่าน และกลุ่มประเทศ P5+1 ได้แก่ จีน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐ และเยอรมนี ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวกำหนดให้ P5+1 ผ่อนปรนการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน ในขณะที่อิหร่านจะต้องระงับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
กระทั่งเมื่อวันที่ 13 ต.ค. ปีที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ประกาศไม่ให้การรับรองต่ออิหร่านในการปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์ที่มีการทำไว้ในปี 2558 โดยระบุว่า อิหร่านไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์ และมีการละเมิดหลายครั้ง
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบลดลง 2 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 840,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันลดลง 625,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ร่วงลง 2.6 ล้านบาร์เรล เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันลดลง 861,000 บาร์เรล