สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (3 พ.ค.) จากการคาดการณ์ที่ว่า สหรัฐอาจใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่ออิหร่าน โดยนักลงทุนจับตาดูท่าทีของประธานาธิบดีโดนัดล์ ทรัมป์ซึ่งมีเวลาจนถึงวันที่ 12 พ.ค.นี้ว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ชาติมหาอำนาจทำไว้กับอิหร่านหรือไม่
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 68.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 73.62 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ขณะที่นักลงทุนจับตาดูท่าทีของปธน.ทรัมป์ซึ่งมีเวลาจนถึงวันที่ 12 พ.ค.ว่าจะตัดสินใจว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ชาติมหาอำนาจทำไว้กับอิหร่านหรือไม่ โดยหากปธน.ทรัมป์ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว ก็จะปูทางให้สหรัฐทำการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ซึ่งจะทำให้อิหร่านไม่สามารถส่งออกน้ำมันสู่ตลาด และจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น
ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวเกิดจากลงนามในปี 2558 ระหว่างอิหร่าน และกลุ่มประเทศ P5+1 ได้แก่ จีน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐ และเยอรมนี ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวกำหนดให้ P5+1 ผ่อนปรนการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน ในขณะที่อิหร่านจะต้องระงับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ปีที่แล้ว ปธน.ทรัมป์ประกาศไม่ให้การรับรองต่ออิหร่านในการปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์ที่มีการทำไว้ในปี 2558 โดยระบุว่า อิหร่านไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว และมีการละเมิดหลายครั้ง
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า การผลิตน้ำมันในเดือนเม.ย.ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) อยู่ที่ระดับ 32 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งต่ำกว่าระดับเป้าหมายของโอเปกที่ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่จากการผลิตที่ลดลงในเวเนซุเอลา