สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (4 พ.ค.) จากการคาดการณ์ที่ว่า สหรัฐอาจใช้มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่ออิหร่าน โดยนักลงทุนจับตาดูท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีเวลาจนถึงวันที่ 12 พ.ค.นี้ ว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ชาติมหาอำนาจทำไว้กับอิหร่านหรือไม่
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย เพิ่มขึ้น 1.29 ดอลลาร์ หรือ 1.9% ปิดที่ 69.72 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 1.25 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 74.87 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันได้แรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีเวลาจนถึงวันที่ 12 พ.ค.ในการตัดสินใจว่าจะถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ชาติมหาอำนาจทำไว้กับอิหร่านหรือไม่ โดยข้อตกลงฉบับนี้เกิดจากลงนามในปี 2558 ระหว่างอิหร่าน และกลุ่มประเทศ P5+1 ได้แก่ จีน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐ และเยอรมนี ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวกำหนดให้ P5+1 ผ่อนปรนการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน ในขณะที่อิหร่านจะต้องระงับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
แต่เมื่อวันที่ 13 ต.ค.ปีที่แล้ว ปธน.ทรัมป์ประกาศไม่ให้การรับรองต่ออิหร่านในการปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์ที่มีการทำไว้ในปี 2558 โดยระบุว่า อิหร่านไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว และมีการละเมิดหลายครั้ง
หากปธน.ทรัมป์ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ก็จะปูทางให้สหรัฐทำการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ ซึ่งจะทำให้อิหร่านไม่สามารถส่งออกน้ำมันสู่ตลาด และจะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันถูกกดดันจากการผลิตน้ำมันที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐ ซึ่งได้พุ่งขึ้น 25% นับตั้งแต่กลางปี 2559 สู่ระดับ 10.62 ล้านบาร์เรล/วัน ส่งผลให้สหรัฐเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากรัสเซีย ซึ่งผลิตน้ำมันเกือบ 11 ล้านบาร์เรล/วัน