สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (9 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนำสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านและใช้มาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่ออิหร่านนั้น จะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบในตะวันออกกลาง เนื่องจากอิหร่านเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย. พุ่งขึ้น 2.08 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 71.14 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2557
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 2.36 ดอลลาร์ หรือเกือบ 3.2% ปิดที่ 77.21 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2557
สัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศนำสหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาตามเวลาสหรัฐ และระบุว่าจะดำเนินการคว่ำบาตรต่ออิหร่านในระดับสูงสุด ซึ่งจะปูทางให้สหรัฐทำการคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่หลังจากนี้ 180 วัน นอกจากว่าสหรัฐจะมีการบรรลุข้อตกลงใหม่ภายในช่วงเวลาดังกล่าว
นักลงทุนในตลาดมองว่า หากอิหร่านถูกคว่ำบาตรรอบใหม่ในครั้งนี้ จะส่งผลให้อุปทานน้ำมันในตะวันออกกลางได้รับผลกระทบ เนื่องจากขณะนี้ อิหร่านนับเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) โดยอิหร่านส่งออกน้ำมันมากกว่า 2.6 ล้านบาร์เรล/วัน หลังจากที่มีการลงนามในข้อตกลงในปี 2558 กับกลุ่มประเทศ P5+1 ซึ่งได้แก่ จีน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐ และเยอรมนี ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวกำหนดให้ P5+1 ผ่อนปรนการคว่ำบาตรต่ออิหร่าน เพื่อแลกกับการที่อิหร่านระงับการพัฒนาโครงการอาวุธนิวเคลียร์
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สหรัฐจะประกาศคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่านจำนวน 200,000-1,000,000 บาร์เรล/วัน โดยตลาดจะเริ่มได้รับผลกระทบจากการคว่ำบาตรดังกล่าวตั้งแต่ปีหน้า
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้ปัจจัยหนุนหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลง 2.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 2.2 ล้านบาร์เรลเช่นกัน