สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (29 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลว่า ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียอาจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อชดเชยการผลิตที่ลดลงของอิหร่านและเวเนซุเอลา อันเนื่องมาจากการถูกคว่ำบาตร
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ร่วงลง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 1.7% ปิดที่ 66.73 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.ปีนี้
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค. ขยับขึ้น 9 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 75.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียกำลังหารือกันในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันราว 1 ล้านบาร์เรล/วัน โดยความพยายามในการปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันดังกล่าว ส่วนหนึ่งก็เพื่อชดเชยกับปริมาณน้ำมันที่จะขาดหายไปจากการที่อิหร่านและเวเนซุเอลาอาจถูกสหรัฐคว่ำบาตร
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สหรัฐจะประกาศคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันของอิหร่านจำนวน 200,000-1,000,000 บาร์เรล/วัน
รายงานระบุว่า โอเปกและผู้ผลิตน้ำมันนอกโอเปกจะทบทวนนโยบายการผลิตน้ำมันในการประชุมที่กรุงเวียนนาในวันที่ 22 มิ.ย. โดยอาจมีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อให้ตัวเลขความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลดลงสู่ระดับ 100% จาก 152% ในขณะนี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่สหรัฐยังคงเพิ่มการผลิตน้ำมัน โดยเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 15 แท่น สู่ระดับ 859 แท่นในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2558 ทางด้านสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ โดยคาดว่าสหรัฐจะผลิตน้ำมันมากกว่า 120,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 11.17 ล้านบาร์เรล/วันภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งจะทำให้สหรัฐแซงหน้ารัสเซียกลายเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลก หลังจากที่สหรัฐสามารถผลิตน้ำมันได้มากกว่าซาอุดิอาระเบียในปีที่แล้ว
ส่วนในปีหน้า EIA คาดว่าสหรัฐจะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น 570,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 11.27 ล้านบาร์เรล/วัน