สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% เมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากรายงานข่าวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐได้สั่งห้ามบริษัทน้ำมันซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านภายในวันที่ 4 พ.ย. มิฉะนั้นจะถูกสหรัฐทำการคว่ำบาตร นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสามารถในการส่งออกน้ำมันของลิเบียยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนสัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นเช่นกัน
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. พุ่งขึ้น 2.45 ดอลลาร์ หรือ 3.6% ปิดที่ 70.53 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 1.58 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 76.31 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐกล่าวว่า บริษัทน้ำมันแห่งใดก็ตามที่ซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านในขณะนี้ จะต้องยุติการซื้อน้ำมันดังกล่าวอย่างสิ้นเชิงภายในวันที่ 4 พ.ย. มิฉะนั้นจะถูกสหรัฐทำการคว่ำบาตร
เจ้าหน้าที่รายนี้ระบุว่า สหรัฐได้แจ้งเรื่องดังกล่าวต่อนักการทูตยุโรปแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการเจรจากับจีน อินเดีย และตุรกี
ทั้งนี้ วันที่ 4 พ.ย.ถือเป็นวันครบกำหนด 180 วันนับจากวันที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านในเดือนพ.ค. ซึ่งจะทำให้ปธน.ทรัมป์สามารถออกคำสั่งคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่
ทางด้านบริษัทเชลล์ และโททาลระบุว่า ทางบริษัทได้ยุติการซื้อน้ำมันจากอิหร่านแล้ว
รายงานระบุว่า ขณะนี้อิหร่านส่งออกน้ำมันมากกว่า 2 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก)
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้ปัจจัยหนุนจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความสามารถในการส่งออกน้ำมันของลิเบีย หลังจากกองกำลังทหารของนายคาลิฟา ฮาฟตาร์ ผู้บัญชาการทหารของลิเบียทางตะวันออก ได้เข้าควบคุมท่าเรือขนส่งน้ำมันทางตะวันออกของประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้เนชั่นแนล ออยล์ คอมพานี (NOC) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของลิเบีย เป็นผู้กำกับดูแลท่าเรือดังกล่าว
นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลล์สำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อนน้ำมันเบนซินจดเพิ่มขึ้น 160,000 บาร์เรล และคาดว่าสต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรล